วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553


มันรู้ร่างกายว่าเป็นร่างกายไม่ได้
บันทึกโอวาทธรรม พระอาจารย์ ไพฑูรย์ ขันติโก
วันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๓ เวลา ๐๕.๐๐ น.
------------------------------------------------------------------

มันรู้ร่างกายไม่ได้ รู้ร่างกายว่าเป็นร่างกายไม่ได้ รู้ไม่ได้ มันไปตามกระแสเดิม กระแสเดิมมันมีพลังมากกว่า ความรู้สึกที่มันเคยตัว มันทำให้กลับใจ กลับมารู้ตามเป็นจริงไม่ได้ ใจคือรู้ ไม่กลับรู้มาเห็นร่างกายเป็นซากศพ รู้แบบนี้มันรู้ไม่ได้ มันก็เป็นการรู้ผิด รู้ที่มีมาแล้วในอดีตหรือที่รู้อยู่ในปัจจุบันก็ดี มันอยู่ในลักษณะรู้ไม่จริง ไม่รู้ตามสัจธรรมที่มันเป็นจริงอยู่ ว่ามันเป็นร่าง เป็นหุ่น เป็นวัตถุของใช้ เท่านั้น เจาะให้มันรู้ มันก็ไม่รู้ มันไม่กลับใจ มันไม่กลับรู้ ใจคือรู้ กลับรู้มาเป็นรู้ถูกต้อง ไม่ต้องไปตามกระแสโลก แต่ให้มารู้ตามกระแสธรรม

โลก แปลว่า ไม่จริง ไปตามโลกคือไปตามกระแสที่ไม่จริง มันก็ไม่รู้จริง มันก็ไม่พ้นโลก คืออยู่ฝั่งโลกียะ ไม่ได้อยู่ฝั่งโลกุตตระ รู้ไปตามอย่างเขา เขาก็คือชาวบ้าน ชาวโลก รู้ไปตามพ่อ ตามแม่ ตามพี่ ตามน้อง ไม่ได้รู้ไปตามชาวพุทธ ตามชาวพระ ต้องให้มันมารู้ตามพระโสดาฯ สกิทาคาฯ อนาคาฯ อรหันต์

ฉะนั้น มันจำเป็นจะต้องเรียนรู้ ศึกษา ทำความเข้าใจ ทำความ “เข้าใจ” ทำความ “เข้าไปรู้” ทำความ “เข้าไปหารู้” ทำความ “เข้าไปหาใจ” ทำความ “เข้า” มันก็คือ “รู้” นั่นแหละ จะเอาอะไรมา “ทำความเข้า” ถ้าไม่เอา “รู้”

นั่งก็นั่งอยู่กับซากศพ นี่คือทำความเข้าใจ เดินไปก็เอาซากศพเดินไป มันอาศัยอยู่ในซากศพ พาซากศพเดินไป นี่คือทำความเข้าใจ ยืนก็ยืนอยู่กับซากศพ นอนก็นอนอยู่กับซากศพ ทำความเข้าใจเข้าไป กินอาหารก็ซากศพกิน ดื่มน้ำก็ซากศพดื่มน้ำ เอาไปหล่อเลี้ยงซากศพ เหมือนอย่างลมหายใจมันก็เป็นส่วนประกอบของซากศพ เอาไปทำการให้ซากศพมีชีวิต เคลื่อนไหวได้ ลมเข้า-ลมออก มันเอาไปหล่อเลี้ยงซากศพ เหมือนกับเอาข้าว เอาอาหาร เอาน้ำเข้าไปหล่อเลี้ยงซากศพ หาวิธีพูด แยกพูด หาวิธีทำความเข้าใจ หาวิธี “ทำความเข้า” ใจ บ่อยๆ เนืองๆ

มันหล่อเลี้ยงกลุ่มของมัน ลมเอาเข้าไปหล่อเลี้ยงกลุ่มของมัน ใจไม่เกี่ยว ใจคือพวกสี่ ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เกี่ยวกับลม ไม่เกี่ยวกับอาหาร ไม่เกี่ยวกับน้ำ จะเห็นได้ในขณะที่ฝัน ตอนฝันนี่มันไปเฉพาะพวกสี่ มันแสดงให้เห็น แย้มให้เห็นอยู่ แต่มันไม่ยอมรับ ไม่เข้าใจ ตอนฝันไปนี่ร่างมันไม่ตาย เป็นซากศพที่มีชีวิตอยู่ ชีวิตไม่ใช่ใจ ใจกับชีวิตมันแยกกัน คนละอย่าง ทั่วๆ ไปก็เข้าใจว่าใจกับชีวิตเป็นอันเดียวกัน ใจกับชีวิต “ไม่ใช่อันเดียวกัน” ก็เห็นได้จากตอนที่ฝัน ใจไปอยู่โน่น ชีวิตคือซากศพนี่มันตายไหม ไม่ตาย นั่นล่ะคือยังมีชีวิตอยู่ แต่ใจไม่อยู่

ทีนี้ถ้าแยกขยายออกไป ก็เปรียบเหมือนต้นไม้ ต้นไม้มีชีวิตไหม มี มีชีวิตตามแบบของต้นไม้ ต้นไม้ตายได้ไหม ได้ นั่นล่ะมันหมดชีวิต มีชีวิตตามอย่างของต้นไม้ สัตว์มีชีวิตไหม มี มีตามอย่างของสัตว์ คนมีชีวิตไหม มี มีตามอย่างของคน มันต้องขยายสับให้แหลก เห็นได้อย่างไรว่าต้นไม้มีชีวิต ลองเอาขวานไปฟันดูซิ แล้วต่อมามันก็จะค่อยๆ เหี่ยวเฉาตาย นั่นตายแล้ว ชีวิตหมดไปตามอย่างของต้นไม้ พืชต่างๆ มันมีชีวิตตามอย่างมัน เถาวัลย์มันเลื้อยขึ้นไป หาวิธี มีมือเกาะ เช่น แตงกวา บวบ มันมีมือไปเกาะเกี่ยวกับไม้อื่น มันก็มีชีวิตอย่างมัน ไม่ได้มีชีวิตอย่างมนุษย์ มันคนละรูปแบบ คนละอย่างกัน

ที่มันมีการฝันไป มันเป็นความเคยชิน เป็นอัตตา มันไม่ได้เป็นอนัตตา เวลาฝัน “พวกสี่” นี่มันไป ไปเพราะมันมีตัวแอบแฝงอยู่ คือความเข้าใจผิด คิดว่าเป็นอัตตา มันยังไม่รู้จริงตามเป็นจริง มันก็เลยสะท้อนความรู้สึกเป็นอัตตา มันจึงมีไปมีมา มีเกิดมีตาย มีเจ้าของ เป็นขันธ์ห้าที่มีเจ้าของ เหมือนคนแต่งงานแล้ว ผู้หญิงมีเจ้าของ ผู้ชายมีเจ้าของ ขันธ์ห้าของปุถุชนคนธรรมดามันมีเจ้าของคืออัตตา เพราะว่ามันสำคัญผิด มันจึงสะท้อนออกมาเป็นอัตตา เป็นกู เป็นฉัน ขันธ์ห้าไม่ว่าง ถ้าไม่ว่างมันก็ไม่เป็นอนัตตา มันก็ไม่จบ มันก็มีเชื้อคือตัวตน เพราะเข้าใจผิด มันเลยสะท้อนออกมาเป็นตัวตน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น