วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

ผู้ออกจากเรือน ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว

ผู้ออกจากเรือน ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว
บันทึกโอวาทธรรม พระอาจารย์ ไพฑูรย์ ขันติโก
วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เวลา ๐๕.๐๐ น.
-------------------------------------------------------------------------

การนั่งกรรมฐานแล้วพูดธรรมะสู่กันฟัง เป็นกิจวัตรของสงฆ์ พูดบ่อยๆ ฟังบ่อยๆ ให้เข้าใจว่าเป็นข้อวัตร เข้าใจว่าเป็นการทำความเพียรอีกวิธีหนึ่ง เป็นวิธีที่จะเอื้อประโยชน์ต่อผู้ใฝ่ในธรรม ผู้เสียสละจากเหย้าเรือน เป็นผู้ออกจากเรือน ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว

คำว่า “ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว” คือ ไม่เกี่ยวข้องกับภายนอกทั้งหมด ไม่เกี่ยวข้องกับกระแสโลก กระแสโลกีย์ ถ้าเกี่ยวข้องอยู่ก็ไม่ได้ยกระดับจิตใจให้มันหนีจากโลก หนีจากโลกียวิสัย การยกระดับจิตใจให้เหนือโลกก็เพื่อจะไปสู่ระดับโลกุตตรธรรม ธรรมที่อยู่เหนือโลก มันเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย นานเข้ามันก็จะมีมาก เจริญขึ้น ก้าวหน้าขึ้น ด้วยการสะสม เก็บออม ยอมรับ

คำว่า “ความเกิด” เป็นต้นเหตุของปัญหา เป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ ถ้าไม่มีความเกิด มันก็หมดเรื่อง มันก็เป็นการแก้ปัญหาแบบถาวร อย่างที่พระพุทธองค์และพระอรหันตสาวกแก้ปัญหาชีวิตได้อย่างถาวร อย่างนิรันดร ไม่ต้องมาเวียนวน ไม่ต้องมีอะไรที่จะเวียนกลับมาเกิด ไม่มีอะไรที่จะอยู่ ที่จะไป ที่จะมา มันหมดจด จบตัวตน คือ จบอัตตา ก็เป็นอนัตตา ซึ่งเป็นคำศัพท์ที่จะใช้กับรสชาตินั้น อาการนั้น

มันก็เป็นการอธิบายเปรียบเทียบแบบหยาบ แบบละเอียด แบบไกล แบบใกล้ แบบตัวใหญ่ แบบตัวเล็ก เปรียบเทียบให้ดู ให้เห็น บอกให้เห็น ชี้ให้เห็น แบบหยาบคือตัวร่างของเรานี่แหละ ที่ยึดถือว่าเป็นตัวตน ทำให้มันมีความยุ่งยากมากมาย มีปัญหาตามมามากมาย คุณมีตัว คุณก็ต้องนั่ง ต้องนอน ต้องยืน ต้องเดิน นั่งก็เป็นปัญหาชนิดหนึ่ง ยุ่งยากชนิดหนึ่ง นอนก็เป็นปัญหา ยืนก็เป็นปัญหา เดินก็เป็นปัญหา ไล่ไป ต้อนไป ชี้แจงให้มันเข้าใจทีละระดับ ให้มันยอมรับ ว่าใช่ไหม ใช่ไหม ใช่ มีอะไรค้านก็ค้านมา ถ้าไม่มีอะไรค้านก็ยอมรับ ยอมรับไป

พระพุทธเจ้าต้องการให้หมดตัวหมดอัตตา ถ้ายังมีตัว คุณก็ไม่หมดปัญหาหรอก ดิ้นรนแสวงหา ต่อให้คุณรวยขนาดใหญ่ ปัญหาของคุณก็ไม่หมด คุณแก้ปัญหาไม่ตรงจุด แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ถ้าหัวมันคิด มันย่อมรู้ มันย่อมเห็น เว้นไว้แต่หัวมันไม่ได้คิด เหมือนสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย เช่น ควาย เป็นต้น ไม่มีหัวคิดระดับมนุษย์ นี่เป็นการยกตัวอย่าง ไม่ได้ว่า เพียงเปรียบเทียบให้เห็น ให้มันเข้าใจ เข้าใจไหม เข้าใจไหม ควายมันไม่รู้จักคิด มันจะเห็นตาม มันจะรู้ตามได้อย่างไร มันจะได้ดวงตาเห็นธรรมได้อย่างไร มนุษย์นี่คิดเป็น เพราะธรรมชาติให้มา ให้คิดเป็น แตกต่างจากความเป็นควาย โดยหน้าที่ของธรรมชาติ

ถ้าชี้ต่อไป เห็นแล้วหรือยังว่าการยืน เดิน นั่ง นอน มันเป็นปัญหา ถ้าคุณว่ามันไม่เป็นปัญหา คุณเดินตลอดวันได้ไหม ตลอดทั้งเดือน ทั้งปี ทั้งชาติ คุณเดินอยู่อย่างนั้นไม่ต้องหยุดได้ไหม ถามจี้เข้าไป มันก็จะจำนน เพราะมันเดินตลอดไม่ได้ นั่นล่ะคุณก็เห็นว่ามีมันเป็นปัญหา การเดินเป็นปัญหา ถ้าไม่เป็นปัญหา คุณก็เดินได้ตลอด ปัญหาเกิดขึ้นแล้วในรูปแบบของการเดิน เพราะมันเมื่อย มันล้า เดินย่างเดียวจะได้ยังไง ต้องไปกิน ต้องไปทำงาน ต้องไปนอน ต้องไปดื่ม จะเดินตลอดวันได้ยังไง นั่นล่ะคือปัญหา คือคุณเดินตลอดไม่ได้ นั่งทั้งปีก็ไม่ได้ นอนทั้งปีก็ไม่ได้ มันเป็นปัญหา

ทีนี้ให้มองย้อนเข้ามาหาตัว ที่ต้องเดินก็เพราะมีตัวใช่ไหม ตัวคืออัตตา คุณมีตัวใช่ไหมคุณจึงต้องนั่ง คุณมีตัวใช่ไหมคุณจึงต้องนอน ต้อนมัน ไล่มัน ให้มันเห็นจริงแบบหยาบๆ ก่อน ถ้าไม่มีตัวคุณจะเอาอะไรมานั่ง ไม่มีตัวคุณจะเอาอะไรมานอน ไม่มีตัวคุณจะเอาอะไรมาเดิน ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงบอกชาวโลกทั้งหลายว่า ต้องทำลายตัว ทำลายอัตตา ให้มันเป็นอนัตตา

“อนัตตาไม่มีตัวแล้ว” ถ้าพูดอย่างนี้มันก็ไม่เข้าใจอีก คิดว่าร่างเป็นตัวอีก มันก็จะย้อนกลับมาอีกว่า งั้นก็ไปฆ่าตัวตายเลยซิท่าน เพราะมันไม่เข้าใจ ผู้อธิบายรู้เฉพาะตัวว่ามันหมายถึงอะไร ส่วนผู้ฟังก็เข้าใจเขวไปอีก เพราะมันขัดกับความรู้สึกของปุถุชน มันเป็นปัจจัตตัง แต่ว่าที่มันเถียงก็ยังดี แสดงว่ามันคิดตาม หัวมันหมุนแล้ว หัวมันทำงานแล้ว มันสมองทำงานแล้ว มันไม่อยู่นิ่งเหมือนหัวควายแล้ว ดีแล้วที่คุณรู้จักที่จะเถียง หัวคุณไม่ใช่ระดับควายแล้ว ถ้าไม่รู้จักเถียง พูดอะไรก็ไม่รู้เรื่อง นั่นมันระดับควายแล้ว พูดให้มันแรงๆ ก็แบบนี้

เหมือนกับพระพุทธเจ้าถามพระสารีบุตรในขณะที่นั่งฟังธรรมอยู่ว่า สารีบุตรเธอเชื่อหรือยัง พระสารีบุตรก็ตอบตามตรงอย่างบริสุทธิ์ใจว่ายังไม่เชื่อ ก็เพราะมันยังไม่เชื่อจริงๆ ไม่ใช่ว่าขัดแย้ง ไม่พอใจ แต่ตอบตามจริง ไม่ใช่ตอบอย่างใจร้ายๆ เหมือนชาวบ้าน ชาวโลก ที่เขาชอบโต้ตอบกัน

แต่ละวันคุณกินอาหารใช่ไหม ถ้าตัวคุณไม่มี คุณจะเอาอาหารใส่ปากได้ไหม คุณมีตัวคุณจึงมีปาก มีท้อง จึงได้รับประทานอาหารเข้าไป ปัญหาเพราะคุณมีตัวมีตนนี่ใช่ไหม ถ้ามันไม่มีตัว เป็นอย่างอากาศว่างๆ มันกินข้าวได้ไหม มันอยาก มันหิวได้ไหม ไม่ได้ นั่นล่ะปัญหาเพราะว่าคุณมีตัว นี่เป็นการไล่ต้อนให้เห็นอย่างหยาบๆ ภายนอก ให้ปุถุชนทั่วไปได้มองเห็นตามได้ เพื่อให้คิดตามได้ ยังไม่ใช่ภาษาระดับอริยชน

ถ้ามันเป็นอนัตตา มันไม่มีตัว คุณจะเอาขาที่ไหนมาเจ็บ เอาหัวที่ไหนมาปวด จะเอาฟันที่ไหนมาปวด จะเอาร่างที่ไหนมาร้อน จะเอาร่างที่ไหนมาหนาว ถ้าคุณมีตัวมีตน เกิดทุกภพทุกชาติ คุณก็ต้องเป็นอย่างนี้ ก็ร้อน ก็เจ็บ ก็ไข้ ก็แก่ ก็ตาย คุณไม่เบื่อบ้างหรือ ไล่เข้าไป ต้อนเข้าไป

ถ้ามันคิดแล้วมันจะเห็น นอกจากมันไม่คิด เบื้องต้นต้องฟังก่อน จึงเรียกว่าปัญญาเกิดขึ้นจากการฟัง สุตมยปัญญา ปัญญาคืออะไร ปัญญาคือเห็นตามเป็นจริง ถ้าไปคิดไปค้นไปสร้างอะไรขึ้นมา มันก็เป็นปัญญาแบบโลกียะ คำว่า “ปัญญา” มันมีการใช้ในหลายระดับ หลายแง่หลายมุม หลายขั้น มันเรียกว่าปัญญาเหมือนกัน หุงข้าวเป็น ปรุงอาหารเป็น มันก็เป็นปัญญาแล้ว ควายมันหุงข้าวไม่เป็น ปรุงอาหารไม่เป็นหรอก ปัญญาระดับควายก็คือกินหญ้าเป็น เพราะธรรมชาติให้มันมาแค่นั้น แต่ปัญญาระดับมนุษย์มันมีมากไปกว่านั้น มันไม่มีขอบเขตจำกัด มันอยากรู้อะไร ก็ศึกษาเรียนรู้ได้

ย่นเข้ามา ตีกรอบเข้ามา ปัญญาระดับมนุษย์ที่หมายถึง คือปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริง เกี่ยวกับรูปนาม เกี่ยวกับอัตตา อนัตตา นี่สาขานี้ ไม่ใช่รู้เห็นในเรื่องวิทยุ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ อะไรนั่น นั่นมันเป็นโลกียปัญญา ไม่ใช่โลกุตตรปัญญา ซึ่งเป็นปัญญาแบบพ้นโลก เหนือโลก โลกียปัญญาจะมีมากเท่าไร เก่งเท่าไร ก็ไม่เหนือโลกหรอก มันต้องแยกระดับกัน

การฟังหรือการอ่านมันก็ทำให้เกิดปัญญาได้ เรียกว่า สุตมยปัญญา หรือไม่ได้ฟังใครหรอก คิดเอง มันก็เกิดปัญญาได้ เรียกว่า จินตมยปัญญา จริงๆ มันก็เป็นการหาเรื่องมาพูดแยกแยะกันให้มากความมากเรื่องเท่านั้นแหละ ให้มันมีเรื่องพูดมากๆ ขยายความมากๆ มันจะได้มีโอกาสเข้าใจง่ายขึ้น ถ้าฟังแล้วมันก็ต้องคิด คิดแล้วมันก็รู้เห็นตามเป็นจริงได้

ชาวบ้านทั่วไป ขนาดเรื่องธรรมดายังไม่คิดหาเหตุผล ยังไม่ทำความเข้าใจ มีแต่เชื่อ เชื่อตามกัน เชื่อตามเขาว่า ไม่ใช้หัวสมองตัวเองเลย แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนมาเข้าใจเรื่องรูปนาม มันไกลกันราวฟ้ากับดิน ของหยาบๆ พื้นฐานภายนอกยังไม่รู้จริงตามเหตุผล ยังทำตามเชื่อตามสิ่งที่ขัดกับความเป็นจริงอยู่ นี่มันไม่แปลกอะไรหรอกเพราะธรรมชาติมันให้มาอย่างนั้น คนหลง คนงมงาย มันมีมากกว่าคนที่มีปัญญา มันก็เลยเห็นตามกัน แห่ตามกันไปทางนั้นมาก

ไล่ไป ต้อนไป ให้มันจนมุม มันเกิดมาแล้ว มันก็มีปัญหา ปัญหามันมาจากความเกิด ต้นตอมันคือความเกิด แล้วค่อยขยายออกไป ขันธ์ห้ามีก็เพราะความเกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่มีอะไร ที่มันไม่รู้ก็เพราะมันคิดไม่พอ ค้นคว้าไม่พอ ศึกษาไม่พอ ไม่ใส่ใจที่จะศึกษาในจุดนี้ จึงไม่เห็น ไม่แตกฉาน มันก็เลยไม่เข้าใจ อะไรที่บอกว่าทุกข์ นั่นแหละคือปัญหา โดยสรุปปัญหามันอยู่ที่ตัว อยู่ที่รูป ไปหาอะไรภายนอก มันยิ่งไกล ไปหาว่าเศรษฐกิจไม่ดี ไปหาว่าไม่มีที่ทำกิน ไปหาว่าไม่มีเงินพอใช้ ไปเที่ยวโทษนั่นโทษนี่ โทษว่าเพราะไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนเขาบ้าง ไม่ได้งานทำที่ดีบ้าง ไม่ได้เงินเดือนมากๆ บ้าง โน่น..ไปโทษภายนอกโน่น มันไกลราวฟ้ากับดิน ไปแก้ปัญหาภายนอก ต้องได้เงินมาก ต้องรวย ต้องมีที่ทำกิน ต้องมีการศึกษา ส่งเสริมกันปลูกนั่นปลูกนี่ เอาไปขายที่นั่นที่นี่ โอ๊ย..มันอยู่ไหนกัน มันไกล มันก็ได้.. แต่มันเป็นปลายเหตุมากๆ

ถ้าเป็นปัญญาชน คิดแล้ว มันก็จะเห็นตาม นี่มันมีแต่แห่ตามกระแสสังคม กระแสชาวบ้าน กระแสชาวโลก มันสมองเรามีแต่เราไปตามเขา ถ้าคิดค้นคว้า มันจะกระจ่างออกมา มันคืออะไรกันแน่ ขออย่างเดียวอย่าไปตามเขา กระแส ๙๙.๙ % มันตามเขา ตามโลกียวิสัย ตามชาวโลก ตามชาวบ้าน มันสมองไม่ได้คิดเอง รูปแบบต่างๆ มันตามเขา ที่แหวกแนว มันมีน้อย แทบจะมองไม่เห็นเปอร์เซ็นต์เลย ยกตัวอย่างคือใคร คือพระสิทธัตถะ นั่นเห็นไหม แหวกแนวไหม ท่านทำตามใครไหม ทำตามกระแสชาวบ้าน ชาวโลกไหม ไม่ นั่นคือท่านคิดเอง ไม่ได้ตามใคร ชาวบ้านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ราชา มหากษัตริย์ ทั้งนั้น ญาติพี่น้อง พ่อแม่ วงศ์ตระกูลท่านทีศักดิ์มีศรีทั้งนั้น แต่ว่าท่านไม่ตาม ท่านจะเป็นอิสระ นี่ต้องอย่างนี้

ไม่อย่างนั้นมันก็เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไม่ใช่ต้นเหตุ ไปลิดกิ่ง ลิดก้านสาขามัน หวังให้ต้นไม้มันตาย มันน่าหัวเราะที่สุด ที่ทำกันอยู่ สอนกันว่า ต้องบริหารอย่างนั้นอย่างนี้ ตั้งข้อกฎหมายระเบียบอย่างนั้นอย่างนี้ ให้มันดี ให้มันรัดกุม ปิดช่องโหว่ ปิดตรงนั้น เปิดตรงนี้ ทำไปเถอะ มันอยู่นอกทั้งนั้น ไกลทั้งนั้น แก้ปัญหาปลายเหตุ พูดกันว่า กลุ่มนั้นบริหารประเทศไม่ดี พรรคนั้นบริหารไม่ดี ต้องเลือกพรรคนี้ มันอยู่ไกลราวฟ้ากับกิน ทำไปเถอะ ไม่มีทางที่จะจบลงได้ ไม่มีทางที่จะราบรื่น ไม่มีทางที่จะให้ความสุขได้ มันก็ต้องขัดข้อง วุ่นวาย เป็นวัฏวนอยู่อย่างนี้

พระพุทธเจ้านี่รู้จริง ขนาดผู้รู้จริงชี้ทางบอกให้แล้ว มันยังไม่สนใจตาม ยังไม่ยอมฟัง ยังไม่ยอมติดตาม เวลาโต้กันในสภา ไม่เห็นมีใครยกพุทธภาษิตของพระพุทธเจ้ามาอ้างอิงเป็นบรรทัดฐานสักคนเดียว มีแต่เอาพวกปุถุชนคนหนาเหมือนกันมาอ้าง ศาสตราจารย์นั้น ศาสตราจารย์นี้ ซึ่งมีกิเลส โลภ โกรธ หลง เต็มหัวใจกันทั้งนั้น

ฉะนั้น มันจะมีพลังผลักดันไปได้ มันก็ต้องใช้ความคิด ใช้สติปัญญาส่วนตัวอย่างมาก ไม่ใช่ไปตามกระแส ขอให้คิดเถอะ คิดให้มากๆ ความคิดนี่มันมีประโยชน์มาก ถ้าคิดตามกระแสมันก็ทำตามเขา แม้จะเป็นความรู้ในรูปแบบฝ่ายโลกียะก็เถอะ ที่มีการคิดค้นอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ มาให้ชนทั้งหลายได้ใช้ มันก็ได้มาจากคนคิดแหวกแนวจากชาวบ้านทั้งนั้น มันจึงเกิดสิ่งเหล่านี้มาได้ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ เครื่องบิน เป็นต้น มันมาจากคนที่คิดต่างจากคนอื่นทั้งนั้น คิดแบบอิสระ ไม่ได้คิดตามกระแส

แต่ปัญญาที่เห็นชอบในที่นี้ ไม่ใช่เห็นชอบในเรื่องโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต แต่คือ ปัญญาที่เห็นชอบตามพุทธศาสดา เห็นชอบในเรื่องขันธ์ห้า ในเรื่องรูปนาม ในเรื่องอัตตา อนัตตา นี่คือความแตกต่าง เมื่อเห็นชอบจุดนี้ มันจะจบเอง เรื่องเด็ก เรื่องผู้ใหญ่ เรื่องโรค ภัย ยาบ้า บุหรี่ มันจะจบเอง เศรษฐกิจไม่ดี เงินไม่พอใช้ แย่งลาภ แย่งยศ แย่งชื่อเสียง แย่งอำนาจวาสนา เหล่านั้นมันจะจบเอง มันเป็นปลายเหตุ สิ่งเหล่านั้นเป็นขยะของพระพุทธองค์ แต่พวกปุถุชนชาวบ้านชาวโลกยังไปแห่วิ่งเก็บขยะกันอยู่อย่างน่าชื่นตาบาน ยังหอมหวานกันอยู่ ทั้งๆ ที่พระพุทธองค์ทิ้งแล้ว เหมือนผึ้งมันเมินกองอุจจาระ แต่เหล่าแมลงวันมันยังชอบอยู่ โปรดปรานอยู่

ปัญหาวัยรุ่น หนุ่มสาว มันเกิดความรัก ความกำหนัดในเพศตรงข้ามก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีตัว มันจะรักได้ไหม มันจะกำหนัดได้ไหม ความรักมันเป็นปัญหาไหม มันกลัดกลุ้ม มันร้อนรุ่มไหม เมื่อเกิดความรัก ความกำหนัด มันก็ต้องการจะระบาย ระบายมันก็เป็นไฟลุกโชน มันก็เกิดจากการมีตัว เกิดจากชาติปิทุกขา อยู่ไม่ได้ มันก็ไปหาคู่ แต่งงาน เพื่อระบาย พูดให้มันชัดก็คือระบายความใคร่ มันไม่ได้แต่งงานเพื่อจะอยู่กิน จะใช้ชีวิตร่วมกันสร้างครอบครัวอะไรหรอก พูดให้มันตรงๆ คือ เพื่อระบายความใคร่ ความกลัดกลุ้มในหัวใจ และธรรมชาติก็สร้างมาอย่างนั้นด้วย ว่าให้มีคู่ระบายความใคร่ ผู้หญิงกับผู้ชาย เป็นวัตถุ เป็นเครื่องมือสำหรับระบาย โดยหน้าที่ของธรรมชาติ มันให้มาแบบนั้น แต่มันเป็นโลกียวิสัย วิสัยของชาวบ้าน ชาวโลก เกิดขึ้นมามันก็ทำตามกันอย่างนั้น ไล่ต้อนไป คิดตามไป มันจะไปเจอต้นตอ คือ “ความเกิด” นี่เอง ทำให้เกิดปัญหาทุกอย่าง ทำอย่างไรจึงจะไม่เกิด จะได้จบปัญหา แต่นี่มันไม่คิด ไม่ต้อน มันมีแต่จะตามกระแส ถ้าคิดมันจะเห็นของจริง

แต่กระแสมันก็ห้ามกันคิดอีก สอนกันว่า อย่าคิดมาก คิดมากเดี๋ยวปวดหัว เดี๋ยวเป็นประสาท นั่นมันยังห้ามกันไว้อีก ก็มันคิดไม่เป็น คิดแบบชาวบ้าน คิดแบบชาวโลก มันก็ปวดหัว เป็นประสาทซิ มันไม่ได้คิดแบบชาวพุทธ

บางทีก็ว่า คุณมองแง่ดีซะบ้าง อย่ามองแง่ร้าย นี่เห็นไหม มันพูดกันตามกระแสทั่วบ้านทั่วเมือง ระดับไหนมันก็พูดตามกัน ซึ่งมันไม่ใช่ มันต้องมองในแง่ตรงซิ มองในแง่ตามเป็นจริง ไม่ใช่มองในแง่ดี ไม่ใช่มองในแง่ร้าย เสแสร้งแกล้งทำ แกล้งพูด ไม่ตรงกับความเป็นจริง นี่เห็นไหม ชาวบ้าน ชาวโลก เขาสอนกัน นี่คือตามกระแส ไม่ได้ใช้มันสมองอย่างอิสระ จะให้มันถูกต้อง มันต้องมองตามเป็นจริงซิ มันจะชัดเจน มันร้ายก็บอกว่าร้าย มันขโมยก็บอกว่ามันขโมย มันอิ่มก็บอกว่าอิ่ม มันนอนก็บอกว่านอน กระหายน้ำก็บอกว่ากระหายน้ำ นี่คือมองตามสัจธรรมตามที่มันเป็นจริง ไม่ใช่ว่าสิ่งร้ายๆ ก็จะมองในแง่ดี นั่นมันโกหกตัวเองยังไม่พอ ยังชักชวนให้คนอื่นโกหก เสแสร้ง กลบเกลื่อนความจริงไปอีก นี่คือพูดแบบระดับธรรมะจริงๆ ต้องแบบพูดแบบนี้

ที่เรามุ่งมาฝึก ก็เพื่อให้มันเห็นจริงตามความเป็นจริง คือไม่ตามของเก่า ไม่ทำแบบเก่า ไม่พูดแบบเก่า ไม่คิดแบบเก่า มาเปลี่ยนความคิดใหม่ เปลี่ยนการกระทำใหม่ เพราะของเก่ามันเป็นโลก ไม่เป็นธรรม นี่เรามาปฏิบัติธรรม ก็ต้องใฝ่ในธรรม ไม่ใช่ใฝ่ในโลก เหมือนกับที่สวดกันไปว่า “เป็นผู้ออกจากเรือน ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว”

“ตัวตนที่มันรู้สึกว่าเป็นตัวฉัน ตัวกู อยู่นี่ คือผลงานของความไม่รู้จริง เหตุคือไม่รู้จริง ผลคือมีฉัน มีกู มีข้าพเจ้า” นี่เป็นแก่นสุดๆ รวบยอดเลย

กู ฉัน ก็คือ รูปนาม พระพุทธเจ้าเป็นอรหันต์ก็คือหมดกู หมดฉัน หมดอัตตา อธิบายยังไงมันก็เข้าใจยากมาก มันก็ไม่เข้าใจ มันต้องสัมผัสรสชาติด้วยตนเอง ไม่ใช่ว่ารูปนามตายหมดจึงไม่มีตัว ไม่มีอัตตา แต่รูปนามนั้นยังคงมีอยู่ โดยไม่มีความยึดมั่นว่ารูปนามเป็นตัวฉันตัวกู มันเข้าใจยาก แต่มันก็เป็นเส้นทางที่ต้องไป จึงต้องพยายามอธิบาย เพราะเป็นเส้นทางเดียว ไม่มีเส้นทางอื่น ถ้าไปทางอื่น พูดเรื่องอื่น มันยิ่งไกลออกไป ห่างออกไป พูดแล้วเขาจะไปหรือไม่ไปก็เรื่องของเขา จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็เรื่องของเขา

อัตตาที่มันยังคงมีอยู่ ก็คือผลของความไม่รู้จริงตามเป็นจริง จึงสะท้อนออกมาเป็นกู เป็นฉัน เป็นข้าพเจ้า จนกว่าเมื่อไหร่รู้จริงตามที่มันเป็นอยู่จริง คือ รูปเป็นรูป เป็นหุ่น เป็นตุ๊กตา เป็นแค่ของใช้ แค่วัตถุชนิดหนึ่ง ที่ธรรมชาติให้มาเท่านั้น แต่นี่มันยังไม่รู้จริง รู้ทีไรก็เห็นรูปนี่เป็นฉัน เป็นกู เป็นข้าพเจ้าทุกที แยกไม่ได้ นั่นคือไม่รู้จริง ไม่รู้จริงมันก็ไม่หมดตัว ไม่หมดกู ไม่หมดฉัน มันก็เป็นอนัตตาไม่ได้

ไม่ใช่ว่าจะไปขับไล่ โลภ โกรธ หลง ออกไป ขับไล่ราคะออกไป ฉันจะอยู่ มันไม่ใช่อย่างนั้น “ฉันจะอยู่” ก็คือมีกูแล้ว “สูออกไป กูจะอยู่ให้สบาย” มันไม่ใช่อย่างนั้น “สูมากวนกู กูอยู่ไม่เป็นสุข สูไปซะ กูจะได้อยู่เป็นสุข” มันไม่ใช่อย่างนั้น “กูจะเข้านิพพาน กูจะไม่มาเกิดอีก กูจะไปอยู่นิพพานอย่างนิรันดร” มันไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าเข้าใจอย่างนั้น มันก็เขวไปแล้ว มันก็ไม่ใช่ปัญญาอันเห็นชอบ ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ

มันต้องเจาะอยู่ที่ขันธ์ห้า รูปนามนี่ ต้องไชอยู่นี่ จิ้มอยู่นี่ ทำจุดนี้ให้เสร็จ มันเป็นงานส่วนตัว งานเฉพาะ ไม่ใช่งานอื่น ไม่ใช่เรื่องอื่น มันเรื่องนี้เรื่องเดียว

ถ้าเราไม่ตามกระแสโลก ถ้าเราคิดให้มากๆ เราจะเห็นความเป็นจริงได้ในระดับหนึ่ง เหมือนอย่างที่ประวัติสมัยพุทธกาล ท่านเห็นกันแล้วท่านก็ออกบวช เพราะการออกบวชเป็นวิถีชีวิตเฉพาะ ขอบเขตเฉพาะ ที่จะออกมาค้นคว้า เหมือนกับมาอยู่ในห้องเรียน ไปอยู่ในโรงเรียน ไปอยู่ในมหาวิทยาลัย เพื่อศึกษาเรื่องตัวเองโดยตรง ห้องเรียนจริงๆ อยู่ในตัวนี่ เป็นห้องเรียนเคลื่อนที่ รูปนามนี่คือห้องเรียน

แต่ถ้าคิดไม่รอบคอบ คิดไม่แตก พอได้ยินเขาพูดว่า “ทำไมต้องไปบวช ทำไมต้องไปอยู่วัด เรียนที่ไหนก็ได้ ปฏิบัติที่ไหนก็ได้ ตัวก็อยู่กับเรา ไปบวชหรือไปวัดก็ดูตัวเองเหมือนเดิม” มันก็เขวแล้ว มันหาเหตุผลตอบเขาไม่ได้แล้ว มันก็จะไหลไปตามเขาแล้ว ตามกระแสโลกแล้ว เพราะมันเข้าข้างตัวฝ่ายต่ำอยู่แล้ว มันชอบอยู่กับโลกอยู่แล้ว คลองเดิมมันมีอยู่แล้ว ร่องรอยเดิมมันเดินจนชำนาญอยู่แล้ว คล่องตัวอยู่แล้ว นี่เพราะคิดยังไม่พอ ปัญญายังไม่แจ่มแจ้งพอ ถ้าปัญญามันกระจ่างแจ้งมันจะอธิบายได้ทุกระดับ มาแบบไหนฉันก็ตอบได้ชัดเจน ไม่ติดขัด ไม่ลังเล จะปฏิบัติอยู่ไหนดี อยู่บ้านหรืออยู่วัดดี มันจะไม่เป็นวิจิกิจฉา ไปศึกษาที่วัดนั้นดีหรือที่วัดนี้ดี ไปที่วัดนั้นดีกว่าเพราะภารกิจไม่มาก ไม่วุ่นวาย เหมาะกับการศึกษาค้นคว้าตัวเองดี มันจะตอบตัวเองได้ด้วยเหตุผลด้วยปัญญา เหมือนกับพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ทั้งยุคก่อนก็ดียุคนี้ก็ดี ที่ท่านคิดแหวกแนวต่างจากชาวบ้าน ชาวโลก “เป็นผู้ออกจากเรือน ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว” จึงไปจากโลกได้ จึงอยู่เหนือโลกได้ ไม่ถูกโลกธรรมครอบงำ

ธรรมะระดับโลกุตตระมันขัดคอชาวโลกน่ะ มันขวาง มันสวนทางกัน การพูดแปลกๆ บางทีมันก็เป็นประโยชน์ อาจกระตุ้นให้คนบางคนที่มีปัญญาได้คิด ผลักดันให้ได้คิดกันบ้าง เพราะเดี๋ยวนี้มันมีแต่ไหลตามกระแสกัน ๙๙.๙ % มันไหลตามกระแส มันเป็นประชาธิปไตย ประชาธิปไตยมันก็ไหลตามกระแส พวกมากลากไป ไหลตามความอยาก ไหลตามความต้องการ คนหมู่มากไปทางไหนก็ไหลตาม ถ้าไม่ขัดกับโลก มันก็เป็นพระไม่ได้ มันก็เป็นชาวบ้าน ชาวโลก เป็นปุถุชนคนหนาเหมือนกัน บางทีเราไม่พูดตามเขา มันก็เหมือนกับว่าขัดคอเขา ถ้าไม่ขัดคอกระแสโลก มันจะเหนือกว่าโลกได้ยังไง มันก็อยู่ผสมกับโลกนั่นแหละ ลอยคออยู่ในโลก จะไปสู่โลกุตตรธรรม ธรรมที่อยู่เหนือโลกได้ยังไง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น