วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

เวลานั่งอย่าให้มันง่วง

เวลานั่งอย่าให้มันง่วง
บันทึกโอวาทธรรม พระอาจารย์ ไพฑูรย์ ขันติโก
วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓ เวลา ๐๕.๐๐ น.
------------------------------------------------------------------------

เวลานั่งอย่าให้มันง่วง มันจะติดเป็นนิสัย เหมือนที่เห็นกันโดยมากเชื่อครูเชื่ออาจารย์ว่าให้นั่งสมาธิหลับตา แล้วก็ทำตามๆ กัน ด้วยความเชื่อ แต่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งไปกว่านั้นไม่มี กลัวว่าถ้านั่งลืมตาแล้วมันจะผิดคำสอนของครูอาจารย์ ยิ่งกลัวผิดมันก็เลยยิ่งผิด คือนั่งหลับตาแล้วก็ง่วง ขาดสติ ยึดถือแต่คำสอนที่บอกว่าให้นั่งหลับตา แต่คำสอนที่บอกว่าตั้งกายตรง ดำรงสติมั่น นี่ไม่ให้ความสำคัญกับคำสอนนี้เลย เวลานั่งทีไรก็หลับตา แล้วก็ง่วง สัปหงก หรือหลังนี่โค้งลงจนหัวจะโขกพื้นอยู่แล้ว สติก็ไม่มี บอกว่ากำลังประพฤติปฏิบัติอยู่ ทำความเพียรอยู่ ไม่เคยขาด แต่ทำอย่างที่ว่านี่มันไม่ถูกต้อง แล้วมันจะได้ผลได้ยังไง พอมันง่วงมันก็ขาดสติ ไม่รู้ตัว ไม่รู้ปัจจุบัน ไม่มีพุทโธแล้ว พระใหม่ๆ บวชเข้ามาก็ทำตามกัน ทำวัตรเสร็จก็นั่งสมาธิ หลับตา แล้วก็ง่วง สัปหงก เริ่มต้นก็ปลูกฝังนิสัยเสียแบบนี้เข้าไปเลย มารู้ตัวทีหลังกว่าจะแก้ได้มันก็ยากเหลือเกิน หรือบางทีก็ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำเพราะไม่มีใครกล้าเตือน หลวงปู่ชาท่านย้ำนักย้ำหนาในเรื่องนี้ ถ้าง่วงท่านจะให้ลุกไปเดินหรือยืนเลย ไม่ให้มันเป็นนิสัยที่มีนิวรณ์ครอบงำ

การนั่งหลับตาทำตามๆ กัน นี่มันเป็นการทำแบบไม่มีความคิด ไม่ได้ใช้ความคิด แถมยังคิดว่าทำสมาธิแล้วมันจะเกิดปัญญาขึ้นมาเอง เพราะบอกสอนกันอย่างนี้ก็มี คนฟังฟังไม่เป็นก็คิดว่าจะต้องพยายามทำสมาธิให้ได้เป็นอันดับแรก ที่จริงการนั่งหลับตานี่ก็ไม่ได้มีบอกสอนมาในพุทธประวัติ พระอรหันต์ทั้งหลายในอดีตท่านก็บรรลุธรรมได้โดยลืมตาปกติ แม้กระทั่งเวลาพระพุทธองค์แสดงพระธรรมเทศนา ท่านก็ไม่ได้บอกให้ทุกคนนั่งหลับตา ก็มีแต่นั่งลืมตากันทั้งนั้น

ให้ดูรู้ที่ปัจจุบัน อย่าข้ามไป ถ้าข้ามปัจจุบัน คือข้ามของจริง ปัจจุบันคือของจริง รู้ตรงไหนก็ดูตรงนั้น แต่ส่วนใหญ่มันโลภมาก อยากรู้อยากเห็นมาก หาโน่นหานี่มาเติมมาเสริมในวิธีการปฏิบัติ คิดว่ามันจะทำให้รู้เร็วบรรลุเร็ว มันจึงข้ามปัจจุบันไป สิ่งให้ดูมีอยู่ต่อหน้าแท้ๆ ไม่ยอมดู กายกับใจมีอยู่แท้ๆ ไม่ดู ไปมุ่งที่จะดูอย่างอื่น

มีพระหลายๆ วัดพากันหาหมามาเลี้ยง กรรมฐานก็เลยคือการอยู่กับหมา เลี้ยงหมา เมตตามัน รักมัน บางทีให้มันนั่งข้างๆ เป็นอัครสาวกซ้ายขวา แล้วชาวบ้านก็กราบทั้งพระทั้งหมานั่นแหละ พอใครตำหนิเรื่องหมาก็ผิดใจกัน กายกับใจมีอยู่แท้ๆ ไม่ดู กลับไปดูหมา เรียกว่า “พระกินหมา” มีหมาเป็นอารมณ์กรรมฐาน คือกินอารมณ์ก็คือหมา อยู่คนเดียวดูกายดูใจตัวเองไม่ได้ มันอยากจะดูแต่ภายนอก นี่คือมันข้ามปัจจุบัน มันไปหาอนาคตคือหมา เอามาดู เอามาเป็นเพื่อนเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ

เมื่อไม่ดูของจริง ไม่ดูตัวเอง ไม่ดูกายดูใจตัวเอง แล้วอยากจะเห็นธรรม อยากจะบรรลุธรรม มันจะเป็นไปได้อย่างไร มันไม่เป็นเหตุเป็นผลเลย อยากเห็นแต่ไม่ดู มันจะเห็นได้อย่างไร เหมือนอย่างนั่งหลับตาไปหาดูอะไรอยู่โน่น ของจริงโชว์อยู่มีอยู่ต่อหน้า ไม่ดู มันจะเห็นได้ยังไง

ถ้าลองหันมาดูตัวเองอย่างจริงจัง ดูบ่อยๆ พิจารณาบ่อยๆ ค้นคว้าบ่อยๆ พากเพียรบ่อยๆ บากบั่นอยู่ที่การดูกายดูใจของตนนี้ตลอด ดูมันไปเรื่อยๆ สักวันมันก็จะต้องเห็น แต่ถ้าอยู่เฉยๆ ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่ได้ดูตัวเองเลย มันก็เสียเวลาเปล่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น