วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

การเคลื่อนไหวของรูป ถูกผลักดันมาจากนาม


การเคลื่อนไหวของรูป ถูกผลักดันมาจากนาม
บันทึกโอวาทธรรม พระอาจารย์ ไพฑูรย์ ขันติโก
วันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๓ เวลา ๐๕.๐๐ น.
------------------------------------------------------------------

การเคลื่อนไหวของกาย การเคลื่อนไหวของรูป นี่ถูกผลักดันมาจากนาม นามคือกลุ่มรู้ เพราะว่าร่างกายนี้เป็นของใช้ของนาม เวลาที่ส่วนต่างๆ ของรูปร่างกายเคลื่อนไหว มันถูกผลักดันมาจากนาม นามเป็นกลุ่มมีความรู้ แล้วผลักดันให้กายเคลื่อนไหว ที่ท่านเขียนไว้ว่า กำหนดอิริยาบถบรรพ กำหนดรู้อาการเคลื่อนไหวของกาย ตามเห็นความจริง ตามรู้ตามเห็นลักษณะที่มันทำการอยู่ ดูตัวจริงที่มันแสดงอยู่ บ่อยๆ เนืองๆ ตั้งแต่เราลุกตื่นจากนอน พยุงกายขึ้น พยุงรูปที่มันหนัก รูปนี่คือตัวไม่รู้ มันถูกผลักดันจากนามคือกลุ่มรู้ พยุงซากศพนี้ขึ้นมาให้มันนั่ง มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวในขณะกำลังทำการอยู่นั้น รู้ตัวว่ากำลังพยุงของหนัก เปลี่ยนสภาพจากการนอนมาเป็นการนั่ง อย่างนี้เป็นต้น

ตามรู้ ตามเห็น ตามความเป็นจริง ในอากัปกิริยาของกาย ซึ่งมันได้รับการผลักดันมาจากนาม แต่ว่ามันมีความเคยชินเดิม เป็นกระแสเก่า มันไม่รู้ว่ากายนี้เป็นเพียงหุ่น เป็นเพียงตุ๊กตา เป็นเพียงของใช้ กายเป็นเพียงรูป อย่างนี้มันมองไม่เห็น มันถูกปกปิดอยู่ มันไม่เห็นตามเป็นจริง แยกไม่ออก ไม่กระจ่าง ไม่สว่าง มันมืดมิดอยู่ก่อนแล้ว ตามกระแสเดิม ตามโบราณ กายมันเป็นกูอยู่แล้ว นี่คือการหลงตามกระแสแบบภายใน แบบละเอียด ไม่ใช่ความหมายคำว่า “ตามกระแส” อย่างที่ชาวบ้านเขานิยมพูดกัน

มันเป็นการพยายาม พากเพียร ในทุกวิธีการที่จะให้รู้ตามเป็นจริง เพื่อเปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนความเห็นให้ได้ มีวิธีการใดบ้างที่จะเจาะ จะพลิกความรู้สึกใหม่ให้เกิดขึ้น นั่นคือแนวทางการสังเกต ขณะที่พยุงซากศพนี้ขึ้นหลังจากตื่นนอน ต่อไปมันก็ลุกขึ้น ยืนแล้วก็เดินไป เป็นความเคลื่อนไหวของกาย เป็นอิริยาบถบรรพ มันได้รับการผลักดันอยู่อย่างต่อเนื่อง ลุกขึ้นก็เหมือนพาซากศพมันลุก ยืนขึ้นก็เหมือนพาซากศพมันยืน เดินก้าวไปก็เหมือนพาซากศพมันเดินก้าวไป เห็นชัดๆ ก็คือการก้าวไปของขา หรือแขนมันก็เอื้อมมือไปจับหยิบยึดนั่นยึดนี่ มันล้วนได้รับการผลักดันมาจากนามคือกลุ่มรู้ทั้งนั้น

ถ้าพูดว่าจิตหรือใจ ก็จะพากันหลงอีก มันเป็นการพูดแบบโบราณ หรือถ้าพูดคำว่าวิญญาณ นี่มันก็ชวนให้หลงอีก มันหมิ่นเหม่ต่อการเข้าใจผิด จะไปคิดว่าวิญญาณเป็นตัวเป็นตน ยิ่งเพิ่มอัตตาเข้าไปอีก แต่ถ้าพูดคำว่า “นาม” นี่มันทำลายอัตตาไปในตัว มันไม่แฝงด้วยความเข้าใจผิด

สังเกตบ่อยๆ สังเกตทุกการเคลื่อนไหว นั่นคือการทำความเพียร คือพากเพียรพยายาม นั่นคือหน้าที่ที่จะต้องทำให้เข้าใจ ให้มันรู้ ให้มันเห็น ทำบ่อยๆ เนืองๆ นี่คือประเด็นหลักที่ต้องการย้ำ มันต้องดูลงที่ของจริงในขณะปัจจุบัน ของที่มันเกิดอยู่ในขณะที่ตื่นแล้ว เกิดอยู่ มีอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่หลับ มันก็มีอยู่ รู้อยู่ เป็นของจริงอยู่ เป็นสัจธรรมอยู่ เป็นปัจจุบันอยู่ มันก็ลงตัวทั้งหมด ไม่ได้ไปเพ่งหาในอนาคต ซึ่งมันยังมาไม่ถึง ยังไม่เห็น ยังไม่มี มันไม่จริง อดีต อนาคต มันเป็นของลมๆ แล้งๆ

หลวงพ่อฉลวย (วัดป่ามหาวิทยาลัย อ.หัวหิน จ.ประจวบฯ) ท่านจะพูดสอนทำนองนี้ว่า “คุณจะไปหาอะไร เรื่องอดีต อนาคต มันเป็นเรื่องลมๆ แล้งๆ” โดยมากท่านจะใช้คำศัพท์แปลกๆ แผลงๆ เพื่อจะสะกิดให้มันสะดุด หรืออย่างหลวงพ่อพุทธทาสก็เช่นกัน ท่านจะมีคำศัพท์แปลกๆ ไม่ยึดตามตัวหนังสือที่ใช้กันมาแต่เดิมในบางอย่างบางจุด บางทีท่านก็พูดเป็นเชิงประณามมัน ดูถูกมัน ไม่ให้สนใจมัน ให้หนีจากตรงนั้น ไปสนใจอะไรกับอดีต อนาคต มันลมๆ แล้งๆ มันผ่านไปแล้ว มันยังมาไม่ถึง สิ่งที่มีอยู่แล้วคุณยังไม่ดู ยังไม่เห็น “คุณจะหลับตาหาอะไร คุณยังต้องการอะไรอีก คุณจะเอาอะไรอีก คุณหลับตาทำไม” นี่หลวงพ่อฉลวยท่านพูดต้อนแบบนี้ ไล่ให้เข้ามาหาปัจจุบัน หลับตามันมักไปหาอดีต หาอนาคต มุ่งหาอะไร มุ่งหาความสงบ ทำสมาธิให้มันสงบ นั่นมันอยู่กับอนาคตแล้ว ของจริงมีอยู่ต่อหน้าในปัจจุบัน ฉายอยู่ โชว์อยู่ ไม่ดู มันก็ข้ามไป สำหรับผู้ที่ไม่มั่นใจก็ไม่กล้าพูดคำศัพท์ที่มันหนีไปจากแบบจากตำรา ผู้ที่ท่านมั่นใจท่านก็พูดได้ เพราะท่านรู้ว่ามันหมายถึงอะไร ท่านกระจ่างในจุดนั้นแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น