วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

ร่างกายนี้มันเป็นของหนัก


ร่างกายนี้มันเป็นของหนัก
บันทึกโอวาทธรรม พระอาจารย์ ไพฑูรย์ ขันติโก
วันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๓ เวลา ๐๕.๐๐ น.
------------------------------------------------------------------

ร่างกายนี้มันเป็นของหนัก เวลาเจ็บป่วยไข้ มันลำบาก เป็นภาระ แต่คนเราก็ยังไม่เข้าใจ มองไม่เห็น สังเกตในเวลาที่ไม่สบาย ยังมองไม่เห็น ไม่สัมผัส ทั้งๆ ที่เป็นของหนัก เป็นภาระ แต่มันก็ยังไม่ยอมปล่อย มันยึดติด มันติดแน่น ยึดเหนี่ยวไว้จนเคยตัว เป็นนิสัย มันหวง มันทะนุถนอม รักในร่างกาย รักในรูป หึงหวงในร่างกาย มันเข้าใจผิด คิดว่าเป็นตัวเป็นตนเป็นมันจริงๆ เข้าใจผิดว่ารูปเป็นตัว เวทนาเป็นตัว สัญญาเป็นตัว สังขารเป็นตัว วิญญาณเป็นตัว เรื่องมันอยู่ตรงนี้ ปัญหามันอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่เรื่องอื่น

เริ่มคิดจากว่ามันเป็นรูป เป็นนาม ที่มีมาแล้วตามธรรมชาติ อย่าย้อนถอยไปไกลกว่านี้ คิดไปมันก็ไม่เกิดประโยชน์ ธรรมชาติมันให้มาแล้ว มีอยู่แล้ว นี่คือของปัจจุบัน ส่วนอดีตมันแก้ไขไม่ได้ โลกที่เป็นมาแล้วเป็นอดีต ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ที่มีมามันเป็นอดีตแล้ว คิดถึงได้แต่ก็ไปเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้ แก้ไขไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ มันอยู่ในปัจจุบันนี้

ปัจจุบันระดับหนึ่ง ก็คือ มีชีวิตอยู่นี่ มีรูป มีนาม อยู่นี่ แต่ถ้ามองอีกระดับหนึ่งก็ว่าปัจจุบันคือ ชาตินี้ เกิดมาแล้ว มันเป็นตัวเป็นตน เป็นบุคคลชื่อนั้น ชื่อนี้ เป็นลูกคนนั้น ลูกคนนี้ พ่อเป็นคนนั้น แม่เป็นคนนี้ นี่ก็เป็นปัจจุบัน แต่เป็นปัจจุบันระดับภายนอก ปัจจุบันระดับหยาบๆ ระดับชาวบ้าน ระดับภาษาคน ไม่ใช่ระดับชาวพุทธ

สิ่งที่ทำได้ แก้ไขได้ มันอยู่ในปัจจุบัน ทำในอดีตไม่ได้ ทำในอนาคตไม่ได้ ปัจจุบันชาตินี้จะใช้ชีวิตแบบไหน เอาชีวิตมาใช้เป็นนักบวช ค้นคว้า หาความจริง นี่คือทำได้ในปัจจุบัน เปรียบเทียบแบบระดับหยาบๆ ระดับชาวบ้าน ถ้าปัจจุบันที่มันลึกซึ้งละเอียดอ่อนไปกว่านั้นก็ต้องพูดอีกแบบหนึ่ง มันมองได้หลายระดับ

อาศัยการทำบ่อยๆ สังเกตการณ์บ่อยๆ เมื่อไม่สบาย มันจะฟุ้งซ่าน นั่นคือมันออกไปจากปัจจุบัน ออกไปอยู่ในโลกภายนอก ไปอยู่ในระดับชาวบ้าน ไปอยู่ในอารมณ์ภายนอก ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ไม่สบายกาย หรือไม่สบายใจ ถ้ามันอยู่กับรูปนาม มันจะต้องสบาย อย่างเช่น อยู่กับกายคตาสติ มีสติในกาย มันจะสบาย เพราะว่ามันหดตัวเข้ามา ไม่ได้ขยายตัวออกไป ถ้าขยายตัวใหญ่เท่าไร ตัวกว้างเท่าไร ก็ยิ่งเป็นทุกข์มากเท่านั้น เหมือนคนอ้วน ยิ่งอ้วนมาก ยิ่งอึดอัด แบกน้ำหนักมาก ก็หนักมาก ปริมาณความเป็นตัวตนมาก มันก็ยุ่งยากมาก ทุกข์มาก ตัวตนน้อยลง มันก็ทุกข์น้อย ยุ่งยากน้อย ลำบากน้อยลง ลดความเป็นตัวตนให้น้อยลง คือ อยู่กับรูป-นาม จนเข้าใจถึงในระดับที่เรียกว่า “หายตัว” จุดประสงค์ที่ต้องการสูงสุดคือหายตัว หายตัวได้มันก็ไม่เหลือตัว เหลือแต่สิ่งที่มันเป็นธรรมชาติ สิ่งที่มันเป็นหน้าที่ หน้าที่ของรูป หน้าที่ของเวทนา หน้าที่ของสัญญา หน้าที่ของสังขาร หน้าที่ของวิญญาณ สิ่งที่เหลือเป็นเพียงหน้าที่ มันก็จะชัดเจนออกมา

เดี๋ยวนี้มันยังเป็น “ตัว” อยู่ ขยายตัวออกไป ฟุ้งซ่านออกไป สังเกตการณ์ง่ายๆ ถ้ารู้สึกไม่สบายกาย ไม่สบายใจ นี่มันขยายตัวออกไปแล้ว มันออกไปแส่ส่ายอยู่กับอารมณ์ภายนอก ไปอยู่กับอดีต ไปอยู่กับอนาคต พูดไปมันก็วกมาของเก่า เพราะว่าจุดปัญหามันอยู่ตรงนี้ ถ้าพูดไปเรื่องอื่นมันยิ่งไกลออกไป ไม่ถูกต้อง การไปรัก ไปชัง มันอยู่ภายนอกทั้งนั้น ไปห่วงใย มันอยู่ภายนอกทั้งนั้น ไปวิตกกังวล มันภายนอกทั้งนั้น มันออกไปอยู่กับอารมณ์ภายนอก

ไม่สบายใจ คือใจมันไม่สงบ เกิดความรัก มันก็ไม่สบายใจ เกิดความชัง มันก็ไม่สบายใจ ความหงุดหงิด นี่ก็ไม่สบายใจ ความเจ็บ ก็ไม่สบายใจ ร้อนเกินไป ก็ไม่สบายใจ หนาวเกินไป ก็ไม่สบายใจ ใจคืออะไร ใจคือรู้ นี่มันก็ต้องพูดวนเวียนอยู่นี่ จะรู้ได้ยังไงว่าคัน ว่าเจ็บ ถ้าไม่มีรู้ ขยายความออกไปมันก็อยู่ในกรอบเดียวกัน ทำนองเดียวกัน สอดคล้องกันไปหมด

มันต้องมี “รู้” จึงรู้ว่าเผ็ด ว่าเค็ม ว่าเปรี้ยว ว่าร้อน ว่าหนาว ถ้าไม่มีรู้ มันจะรู้ได้ยังไง ชีวิตที่เกิดมามันก็พัวพันอยู่กับเรื่องเหล่านี้ วนเวียนอยู่กับสิ่งเหล่านี้ อยู่กับร้อน อยู่กับหนาว อยู่กับดีใจ เสียใจ สบาย ไม่สบาย อยู่กับเผ็ด กับหวาน กับขม นี่จึงเป็นการพูดเรื่องของจริงที่ประสบอยู่ในชีวิตทุกวันๆ ไปพูดเรื่องสวรรค์ นรก เทวดา อะไรนั่น มันไกลออกไป คนละทาง นั่นมันหลงไปแล้ว ไปพูดเรื่องวัตถุมงคล มันยิ่งไกลออกไปใหญ่ ไปเอาเหรียญ เอาพระเครื่อง หลวงพ่อนั่น หลวงพ่อนี่ เป็นวัตถุมงคล เอาก้อนหิน ก้อนดิน ก้อน เล็กๆ น้อยๆ เป็นวัตถุมงคล เอาไม้มาเหลาเป็นรูปนั่นรูปนี่ แล้วก็กราบไหว้เป็นวัตถุมงคล จะบ้าตาย มันไกลกันจนมองไม่เห็น อยู่คนละเรื่องกัน ไกลจากพระพุทธเจ้า

สิ่งนั้นศักดิ์สิทธิ์ สิ่งนี้ศักดิ์สิทธิ์ “ศักดิ์สิทธิ์” มันแปลว่าอะไร คำศัพท์คำเดียวมันก็ยังไม่รู้ไม่กระจ่างชัด หลวงพ่อนั้นศักดิ์สิทธิ์ คาถานั้นศักดิ์สิทธิ์ มันพูดตามๆ กัน ตามกระแส ไม่รู้จักความหมายเลยว่าศักดิ์สิทธิ์แปลว่าอย่างไร มันหลงตามกระแส

“ตา” ของตัวเองนี่มันไม่ศักดิ์สิทธิ์หรือ คุณมีตาอยู่นี่ ยังไม่เห็นว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยังจะไปหาอะไรมาอีก “ตา” มันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับเห็น ตาฉันก็ศักดิ์สิทธิ์ ตาคุณก็ศักดิ์สิทธิ์ ยังไม่รู้จักอีก จะบ้าไปหาของศักดิ์สิทธิ์อะไรมาอีก ตาคุณก็มองเห็นรูปเห็นสีอยู่ นั่นล่ะศักดิ์สิทธิ์

“หู” คุณมีหูไหม มี คุณได้ยินเสียงไหม ได้ยิน นั่นล่ะศักดิ์สิทธิ์ “มือ” คุณมีมือไหม จับโน่นจับนี่ทำงานได้ นั่นล่ะศักดิ์สิทธิ์ “ปาก” คุณมีปากไหม เคี้ยวข้าวได้ไหม กลืนอาหารได้ไหม ได้ นั่นล่ะศักดิ์สิทธิ์ ของศักดิ์สิทธิ์มีอยู่ในตัวแท้ๆ ชัดๆ มันยังไม่รู้จัก มันยังจะไปหาก้อนดิน ก้อนหิน รูปหลวงพ่อนั่น รูปหลวงพ่อนี่ มาเป็นของศักดิ์สิทธิ์ มันจะบ้าแล้ว

“น้ำ” นี่มันก็ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ตามหน้าที่ของความเป็นน้ำ มันไหลไปนั่นไปนี่ได้ คนกิน สัตว์กิน แก้กระหายได้ “แสงแดด” มันส่องให้โลกสว่าง ให้โลกอบอุ่น นี่มันก็ศักดิ์สิทธิ์ “น้ำแข็ง” มันเย็น นี่มันก็ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าน้ำแข็งมันร้อน นี่มันไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว “ต้นไม้” มันพูดไม่ได้ นี่มันก็ศักดิ์สิทธิ์ “ก้อนหิน” มันเดินไม่ได้นี่มันก็ศักดิ์สิทธิ์ “ต้นไม้ยังไม่ตาย” มันมีใบสีเขียว นี่มันก็ศักดิ์สิทธิ์ “ต้นไม้ตาย” มันไม่มีใบ นี่มันก็ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้มันพิสูจน์ได้ ส่วนศักดิ์สิทธิ์แบบพวกพูดตามกัน แห่เชื่อตามกัน มันพิสูจน์ไม่ได้ มันก็เป็นอวิชชา ศักดิ์สิทธิ์โง่ๆ ศักดิ์สิทธิ์บ้าๆ บอๆ เขาหลอกยังไงก็เชื่อ ก็แห่ตามกัน มันไม่ใช้สมอง “ถ้วย” ใส่แกงได้ “หม้อ” ใช้หุงข้าวกินได้ “ครก-สาก” ใช้ตำน้ำพริกได้ นั่นล่ะมันศักดิ์สิทธิ์ แค่คำว่าศักดิ์สิทธิ์มันก็ยังไม่รู้ความหมาย มันหลงขนาดไหน

ถ้ามีหู แล้วเอาหูไปพูด นั่นล่ะมันไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว ถ้าเอาปากพูด นี่มันศักดิ์สิทธิ์อยู่ เอาฟันเคี้ยวอาหาร นี่มันศักดิ์สิทธิ์อยู่ เวลาปวดอุจจาระ ไปเข้าห้องน้ำก็ขับถ่ายออกอยู่ เออ..นั่นยังศักดิ์สิทธิ์อยู่ ทวารศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้มันศักดิ์สิทธิ์แบบเป็นสัจธรรม แบบท้าพิสูจน์ได้ ไม่ใช่ศักดิ์สิทธิ์แบบจอมปลอม แบบหลอกลวงกัน นี่ชาวพุทธมันหลงกันไป มีทั้งชักชวนโฆษณากันทางวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ มันโฆษณาของศักดิ์สิทธิ์ วัตถุมงคล แล้วก็พากันหลง มันอยู่ระดับไหน มันก็โง่อยู่อย่างนี้ มืดอยู่อย่างนี้ บอกว่าเป็นชาวพุทธ แต่พฤติกรรมันก็เป็นชาวบ้าน พระหลายองค์ก็พาชาวบ้านทำแบบนั้น แห่ของศักดิ์สิทธิ์ วัตถุมงคล ฝ้ายผูกแขนสีแดง สีเหลือง เจ็ดสีแปดสี คาถาต่างๆ สวดปลุกเสกพระ ด้ายสายสิญจน์ในปรัมพิธี ยันต์กันนั่นกันนี่ โอ๊ย..จะบ้าตาย ด้ายเอามาเย็บผ้า เออ..นั่นล่ะศักดิ์สิทธิ์ เอาไปกันผี กันโรค กันภัย กันเจ็บ กันตาย มันไม่ใช่หน้าที่ของด้าย ไปยึดถือตามแบบนั้นมันพวกโง่ พวกมิจฉาทิฏฐิ พวกอวิชชา ไม่ได้รับการศึกษา หรือได้รับการศึกษาแต่เป็นการศึกษาแบบป่าเถื่อน มันไม่มีความรู้สติปัญญาอะไร มันรู้ไม่ถูกต้อง ชาวบ้านมันชวนให้ลูกหลานหลงตามกัน ชวนให้ประชากรของประเทศหลงงมงาย มืดบอดสืบต่อกันไป ไม่ให้มันมีปัญญา ไม่ให้มันฉลาดรอบรู้ตามความเป็นจริง มันมีผลเสียมากกว่าที่จะเป็นผลดี

วัตถุมงคล มันก็อยู่ในตัวเราเอง หรือขยายออกไปรอบตัว ครก สาก ถ้วย จาน มันก็เป็นวัตถุมงคล หม้อหุงข้าวก็เป็นวัตถุมงคล ชีวิตอยู่ได้ มีกินได้ ก็เพราะวัตถุมงคลเหล่านี้ บ้านไหน ไม่มีถ้วยจานใส่กิน มันก็ไม่มีวัตถุมงคล ไม่มีบ้าน ไม่มีหมอน ไม่มีเสื่อปูนอน นั่นมันไม่มีวัตถุมงคล ไปนอนตามข้างถนน นอนใต้สะพานลอย นั่นมันไม่มีวัตถุมงคล นอนคลุกกับพื้นดินอยู่อย่างชาวอินเดียบางพวก นั่นมันไม่มีวัตถุมงคล ขนาดมันกราบเจ้าพ่อนั่น เจ้าแม่นี่ เทพองค์นั้นองค์นี้อยู่ทุกวัน มันก็ยังไม่มีวัตถุมงคล

วัตถุมันจะเป็นมงคลหรือไม่เป็นมงคล มันขึ้นอยู่กับการใช้ อย่างพร้านี่ถ้าเอามาผ่าฟืน มันก็เป็นวัตถุมงคล เอาไปฆ่าคน ฟันคน มันก็ไม่เป็นวัตถุมงคล มันพิสูจน์ได้ชัดๆ แบบนี้ เห็นแจ้งอย่างนี้ คนทั่วไปมันยังไม่เห็น แล้วไหนล่ะโอกาสจะได้ดวงตาเห็นธรรม เห็นแต่ของจอมปลอม ประมาทในวัตถุมงคลที่พ่อแม่ให้มา คือร่างกาย สิ่งของที่เกี่ยวข้องใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตได้นี่คือวัตถุมงคล ชีวิตอยู่ได้ก็เพราะปัจจัยเหล่านี้ มันยังมองไม่เห็น ไปเที่ยววิ่งไล่คว้าเอาสิ่งอื่นมาเป็นวัตถุมงคล ของมันไม่ได้เป็นวัตถุมงคล เอาท่องมาบ่นมาปลุกเสกให้เป็นวัตถุมงคล เสกก็คือ พูดเอา ว่าเอา ให้มันเป็น บีบบังคับเอา ข่มเอาให้มันเป็น ของมันไม่ได้เป็นตามหน้าที่ดั้งเดิมตามธรรมชาติ

บางพวกแขวนพระเป็นพวงไว้เต็มหน้ารถ พอจะเลี้ยวทีหนึ่งหรือตกหลุมทีหนึ่งก็เอามือไปประคองไว้ ไหนจะบังคับพวกมาลัย ไหนจะไปประคองวัตถุมงคล มันก็ยิ่งจะทำให้ตกถนนไปชนเสาไฟฟ้า หรือแหกโค้ง หรือชนคนอื่นไปโน่น

ใกล้เข้ามา ก็คือ ตัวเองนี่เป็นวัตถุมงคลที่พ่อแม่ให้มา ร่างกายนี่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่เป็นวัตถุมงคล ฟัน ลิ้น มือ ขา นี่เป็นวัตถุมงคล ตัวทั้งตัวนี่เป็นวัตถุมงคล ถ้าทำให้มันเป็นวัตถุมงคล แต่ถ้ากระทำไม่เป็นมงคล ไปลักขโมย เบียดเบียน รังแก คดโกง หลอกลวงเขา มันก็เป็นเสนียดจัญไร ไม่ได้เป็นวัตถุมงคล ของจริงพิสูจน์ได้แบบนี้ อธิบายแบบแจ้งๆ อย่างนี้ มันก็ฟังไม่เข้าใจ ฟังเทศน์ก็ได้ยินเข้าหู แต่ก็ไม่เข้าใจ มันก็เหมือนเทศน์ให้หัวหลักหัวตอฟัง

พอทำบุญให้ทาน ก็วุ่นวายกับการหาน้ำมากรวด เอาจริงเอาจัง ให้ความสำคัญ พระเณรเองก็บอกเขาแบบนั้น สอนกันแบบนั้น เห็นว่าชาวบ้านชอบแบบนั้น ถ้าทำแบบจริงๆ เขาไม่ชอบ เขาไม่ติด ก็เลยเอาใจกัน ไปเป็นพวกเดียวกัน ระดับเดียวกัน ตอนกรวดน้ำนึกถึงอะไร ก็นึกถึงบุญ อุทิศไปให้ผีตาย ผีพ่อ ผีแม่ มันเกี่ยวข้องอะไรกัน มันคนละภพ คนละชาติ คนละหน้าที่กัน คนตายแล้วจะมาเกี่ยวข้องอะไรกับมนุษย์ ขนาดเป็นมนุษย์เหมือนกันแต่อยู่คนละมุมโลก มันก็ยังไม่เกี่ยวข้องกัน คนที่มันเกี่ยวข้องกันก็คือคนที่อยู่รอบๆ ข้างกันนี่ ได้พึ่งพาอาศัยดูแลกัน แบ่งปันกัน เลี้ยงดูกัน นี่จึงเป็นคนที่เกี่ยวข้องกัน ไปกรวดน้ำให้ผีตาย มันจะได้อะไร เออ..เอาอาหารไปหว่านให้ปลากิน เอาข้าวไปให้นกกิน ไปให้ไก่กิน นั่นมันจึงจะได้รับ เอาน้ำไปให้วัวให้ควายกิน นี่คือกรวดน้ำ กรวดน้ำแบบมีเหตุผล ปลูกมะเขือ ปลูกพริก ปลูกผัก แล้วเอาน้ำไปรดมัน ไม่รดน้ำให้มัน มันก็จะตาย นี่คือกรวดน้ำแบบมีเหตุผล กรวดน้ำแบบชาวพุทธ ไอ้การที่เอาน้ำเทลงในถ้วยในจานนี่มันพิสูจน์ไม่ได้ มันไม่เป็นสัจธรรม เป็นของไม่จริง ระดับไหนก็ไม่จริง จริงแบบของพระพุทธเจ้าต้องจริงแบบมีเหตุผล เอาน้ำไปเทใส่หญ้า หญ้ามันก็เขียว เทใส่ต้นไม้ ต้นไม้มันก็เขียว มันชุ่มมันเย็น นั่นคือสัจธรรม นั่นคือจริง นั่นคือเป็นธรรม ชัดๆ อย่างนี้มันยังไม่เห็น ไปชอบแบบมืดๆ บอดๆ ความเป็นอยู่ของชาวบ้านมันก็เป็นกันแบบนี้ ไม่รู้จะว่ายังไง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น