วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

กำหนดรู้ในอุปาทานขันธ์ห้า


กำหนดรู้ในอุปาทานขันธ์ห้า
บันทึกโอวาทธรรม พระอาจารย์ ไพฑูรย์ ขันติโก
วันที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๓ เวลา ๐๕.๐๐ น.
------------------------------------------------------------------

กำหนดรู้ในขันธ์ห้า ในอุปาทานขันธ์ทั้งห้า อุปาทานคือความยึดถือ ยึดติด มันเป็นผลมาจากตัวอัตตา ความไม่รู้จริง มันทำให้มี “ผู้” ไปยึด ขันธ์ห้ามันเป็นมาตามธรรมชาติของมันอยู่แล้ว พอมีผู้ไปยึด มันก็มีอัตตาตัวตนเกิดขึ้น ตัวอัตตามันเกิดมาจากความไม่รู้จริง “ความไม่รู้ตามเป็นจริง” มันเลยสะท้อนออกมาเป็นอัตตา แล้วก็เป็นอุปาทาน ยึดถือ ถ้าทำลายอัตตาได้ก็ไม่มีใครไปยึดถือ จะทำลายอัตตาได้ก็เพราะรู้จริง “รู้ตัวเอง” รู้จริงๆ ถ้ารู้ไม่ได้ก็ทำลายอัตตาไม่ได้ เพราะ “อัตตาเกิดจากความไม่รู้จริง”

ขันธ์ทั้งห้ามันเป็นอิสระของมัน มีเสรีภาพของมัน เป็นสิทธิของมันเอง ไม่ได้ไปทำความเดือดร้อนให้ใคร ไม่ได้ไปทำความหนักให้ใคร ไม่ได้เอาใครมาเป็นเจ้าของ มันไม่ได้บอกให้ใครมายึดมัน แต่เพราะความไม่รู้จริงมันสะท้อนออกมาเป็นตัวอัตตา แล้วก็เข้าไปยึดถือ มันต้องศึกษาเข้ามาที่จุดนี้ จุดที่มันเป็นอยู่จริง แต่เรายังไม่รู้จริง

ขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนักเน้อ มันหนักเพราะมีผู้ไปแบก มีอัตตา มีตัวตน ไปแบก เกิดอุปาทานในขันธ์ทั้งห้าก็เพราะมีผู้เข้าไปยึด ยึดถือว่าเป็นเจ้าของ ตัวเป็นสังขาร สังขารเป็นตัว ตรงนี้เป็นจุดที่ต้องศึกษาให้เข้าใจ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ยังเข้าไปรู้ไม่ได้ เป็นของยึดอยู่กับเจ้าตัวตลอดเวลา มันดูยาก รู้ยาก จะพูดให้เข้าใจก็ไม่ได้ ถ้ายังไม่ได้สัมผัสเอง ไม่ได้เข้าใจด้วยตนเอง คนพูดก็ได้แต่หาวิธีมาป้อนข้อมูล อธิบายเทียบเคียง ต้อนเข้าไป จนสุดความสามารถที่จะหาวิธีมาพูดเพื่อให้เข้าใจ แต่แล้วมันก็ยังเข้าใจไม่ได้ มันต้องเข้าใจด้วยตนเอง เป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตัว มันเป็นของยาก แต่มันก็เป็นของมีอยู่จริง

“รูปขันธ์” นี่มันเป็นของหยาบกว่าขันธ์อื่นๆ จึงต้องพยายามเห็นจุดนี้ให้มันกระจ่าง มันเป็นของเหนียวแน่น ต้องเจาะตรงนี้ เปรียบเทียบเข้าไป

ต้นไม้มันก็ยังสะอาดกว่ารูป สะอาดกว่าร่างกาย ไม้บางประเภทมีกลิ่นหอม ไม่เน่าไม่เหม็น เช่น ไม้จันทน์แดง จันทน์หอม แต่ว่ารูปของคน ร่างกายของคน มีแต่ของสกปรก พอตายแล้วมันเหม็นขึ้นมาทันที แม้ยังไม่ตายก็เหม็น ขนาดนี้ก็ยังไม่เห็น คิดดูว่ามันทึบขนาดไหน หนาขนาดไหน มืดแค่ไหน บอดแค่ไหน มันยึดถือ วางของสกปรกไม่ได้ ทั้งๆ ที่ของสกปรกอยู่กับตนเองแท้ๆ ก็ยังเห็นไม่ได้ ยึดถือจนเหนียวแน่น นี่คือ คำว่า “รู้จริงไม่ได้” รู้จริงไม่ตามเป็นจริง

ต้นไม้ตายแล้วมันก็ไม่เหม็น ไม่สกปรก แมลงวันก็ไม่ตอม แต่คนนี่ยังไม่ตายมันก็เหม็น มันก็สกปรก น่าทุเรศ แต่ก็เห็นตามจริงไม่ได้ ของเห็นอยู่แต่ไม่เห็น ของรู้อยู่แต่ไม่รู้ เป็นเรื่องที่พูดได้ยาก มันน่าจะปล่อยวาง น่าจะทิ้งได้แล้ว แต่ก็ไม่ทิ้ง ทั้งๆ ที่ของมันอยู่กับตนเองแท้ๆ ถ้าเป็นหนังสือยังอาจเห็นได้ยากหน่อยเพราะต้องหยิบมาเปิดดู หรือเป็นเทป เป็นซีดี ยังต้องไปเปิดฟัง เป็นคอมพิวเตอร์ยังต้องไปเปิดดู เปิดหา ขันธ์ห้าอยู่กับตัวเองตลอดเวลา อยู่ด้วยกันแต่ก็ไม่รู้จักกันเลย อยู่ด้วยกันแต่ก็ไม่เห็นกัน ไม่เข้าใจกัน “ความไม่เข้าใจนี่มันสะท้อนออกไปเป็นอัตตา” ต้องจับจุดจับหลักให้ได้ มันเป็นเพราะอะไรจึงมีความยึดถือ มันมาจาก “ความไม่รู้จริง” ตรงนี้ต้องย้ำต้องจับจุดให้ได้

ไม่ใช่ว่าขันธ์ห้าตายจึงไม่มีตัว ขันธ์ห้ามันเป็นหน้าที่ เป็นจริงอยู่อย่างนั้นของมันเอง โดยธรรมชาติ หน้าที่เป็นรูปจริง หน้าที่เป็นเวทนาจริง หน้าที่เป็นสัญญาจริง หน้าที่เป็นสังขารจริง หน้าที่เป็นวิญญาณจริง ถ้ามันยังไม่เข้าใจ มันก็เอารู้กับอัตตาเป็นสิ่งเดียวกัน มันแยกยาก แยกยังไม่ได้มันก็ไม่เข้าใจ เพราะมันยังไม่ใช่หน้าที่ที่จะเข้าใจได้

อัตตา กับ รู้ นี่มันแยกยาก เข้าใจยาก เห็นยาก เพราะมันเป็นเรื่องลึกซึ้งในชั้นละเอียด ส่วนเรื่องที่อยู่ตื้นๆ ขึ้นมาคือ รูปขันธ์ ที่มันเป็นเหมือนซากศพ นี่มันพอจะมองเห็นได้ แล้วค่อยไต่เต้าไปในระดับที่มันลึกซึ้งกว่า เพราะนี่ขนาดของหยาบๆ ยังไม่เห็น แล้วจะไปรู้ของละเอียดได้ยังไง ในสูตรในตำราในคำสอนท่านจึงย้ำเรื่องร่างกายเป็นเบื้องแรก ต้องเจาะที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นกรรมฐานห้า อสุภะสิบ กายคตาสติ มหาสติปัฏฐานสี่ ก็ล้วนแต่ระบุเรื่องกายนี้ ประตูอยู่ที่นี่ ถ้าเปิดตรงนี้ไม่ได้ มันก็ไปไม่ได้ เห็นไม่ได้

มันพาซากศพไป พาซากศพมา อยู่ตลอด มันก็ไม่รู้สึกขยะแขยง มิหนำซ้ำมันยังหลงไปมากกว่านั้น คือเป็นโลกไปเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ หลงรักตัวเอง หลงรักผู้อื่น หลงรักของสกปรกว่าเป็นตัวเอง แล้วยังไปหลงรักของสกปรกอื่นๆ อีก มันยิ่งเต็มไปด้วยอัตตาตัวตน ท่านจึงแยกว่ามันเป็นโลก เป็นพฤติกรรมของมวลมนุษย์โลก โลกกับธรรมมันเข้ากันไม่ได้ เพราะทัศนวิสัยมันไม่ตรงกัน การมองการเห็นมันไม่ตรงกัน เข้ากันไม่ได้ด้านภายใน เข้ากันไม่ได้ด้านความรู้สึก

หอบถังขยะเน่า หอบของโสโครก หอบไปหอบมา ก็ไม่เบื่อไม่หนักสักที นี่มันน่าขัน มันบ้าหอบอยู่ได้ยังไงถังขยะเน่า นี่คือ ความไม่รู้จริงตามเป็นจริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น