วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เป็นของรู้ได้ยาก


เป็นของรู้ได้ยาก
บันทึกโอวาทธรรม พระอาจารย์ ไพฑูรย์ ขันติโก
วันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๓  เวลา ๐๕.๐๐ น.
------------------------------------------------------------------

          เป็นของรู้ได้ยาก เพราะความเคยตัว เคยชิน สะสม หมักหมม เป็นเครื่องดองสันดานมานานแล้ว เป็นธรรมดาที่มันปิดบังไว้ จึงเป็นของรู้ได้ยาก แต่ก็เป็นของที่จะรู้ได้ เพราะมันเป็นสัจธรรม เป็นธรรมชาติที่มีอยู่ เป็นอยู่ มันเข้าถึงธรรมชาติที่แท้ไม่ได้ มันก็เลยอยู่ในฝั่งฟากนี้ ไปฝั่งฟากโน้นไม่ได้ มันไม่กล้าที่จะข้ามไป เพราะมันติด ติดรส ติดกามคุณ เป็นความติดแบบละเอียดอ่อน มันไม่รู้ตัวว่าติด มันอาศัยพลังมวลชน พลังสังคม พลังกระแสคนส่วนมาก มันก็เลยยิ่งติดไปใหญ่ ไม่มีความรู้ตัวว่าติด โดยสัญชาตญาณมันอาศัยพรรคพวก อาศัยคนส่วนใหญ่ อ้างอิงว่าเขาทำกันแบบนี้ คิดแบบนี้ คนทั้งโลกเขาอยู่กันแบบนี้ นี่คือพลังอันรุนแรง พลังเงียบอันใหญ่หลวง ก็เลยไม่มีใครที่พยายามจะออกจากความยึดติด พยายามจะออกจากคนหมู่มาก ไม่กล้าที่จะแหวกแนว ไม่กล้าที่จะคิดเป็นส่วนตัว คิดแต่ตามเขา มันจึงเป็นของยาก
          แม้แต่วันพระ วันศีล ก็ยังไม่มีใครสนใจ ชาวบ้าน ชาวโลกทั้งหลาย มองภาพแบบกว้างๆ มันจะเห็นได้ว่าเขาไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ไม่ได้ใส่ใจ ส่วนใหญ่มันเป็นอย่างนั้น มันมืดมิด มันทึบ มันเป็นตามหน้าที่ของธรรมชาติให้มา แม้แต่กลัวบาปกรรมแบบหยาบๆ มันก็ยังทำไม่ได้ ยังละเว้นไม่ได้ จะให้เข้ามาใส่ใจธรรมะในระดับที่ลึกซึ้ง ระดับที่เหนือกว่า ได้อย่างไร มองดูแล้วมันยิ่งใหญ่มากสำหรับความยึดติดยึดถือ สำหรับความเชื่อตามประเพณี ตามคนหมู่มาก ตามคนส่วนใหญ่ นี่มันเป็นพลังที่ปกปิดหัวใจชาวโลก ชาวบ้านทั้งหลาย ไม่มีช่องทางที่จะให้เห็น ที่จะให้ผ่านพ้นหนีไปจากโลก ไปอยู่ในระดับโลกุตตรธรรม มันยากมาก
          กระแสมันลดน้อย ลดต่ำลงไป กระแสในความรู้สึก ในความสนใจของชาวบ้าน แต่ทั้งนั้นทั้งนี้ มันก็เป็นตามสัจธรรมที่ธรรมชาติให้มา มันให้ติดอยู่ ยึดอยู่ ถืออยู่ ให้มันวุ่นวาย มันให้ขัดข้องอยู่ มันให้มองไม่เห็นความจริง มันให้ติดอยู่ในระดับนั้น มันเป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งที่ปกปิดความจริง ไม่ให้มองเห็น ปิดไว้จนมิด ปิดไว้จนไม่รู้ตัวว่าถูกปิดถูกขัง ถูกกามคุณทั้งหลายมันผูกมัด มันทับถมไว้ เห็นความจริงไม่ได้ เห็นแต่กามคุณ กามราคะ มันติดกับรสชาติ
          มองเข้ามาให้มันลึกซึ้ง ก็คือ มันติดความเป็นตัวตน ติดอัตตา ติดตัวตน ติดกู กูเป็นอย่างนั้น กูเป็นอย่างนี้ กูแท้ๆ มันติดแนบสนิท จนไม่เห็นรอยเชื่อมต่อ มันจะเห็นทางออกจากโทษ ออกจากทุกข์ ได้อย่างไร แม้แต่ระดับพื้นฐานมันก็ยังไม่รู้ มันไกลกันมาก ที่จะไปใฝ่รู้ ใฝ่เห็น ในระดับที่มันเหนือขึ้นไป
          ถ้าไปพูดความจริงในระดับลึกซึ้ง ระดับสัจธรรม ให้ฟัง มันก็ยิ่งไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่สนใจ เพราะมันไม่ได้ใฝ่ในระดับนี้อยู่แล้ว มันเป็นอย่างนั้น นี่คือสิ่งที่เข้าใจได้ยาก รู้ได้ยาก เห็นได้ยาก สัมผัสความจริงได้ยาก เพราะฉะนั้นผู้อยู่ในเพศสมณะที่มาให้ความสนใจใส่ใจเป็นพิเศษ จึงเป็นบุคคลที่เว้นจากหน้าที่ของชาวบ้าน มาทำหน้าที่แบบชาวพุทธอยู่ในวัด มาพากเพียร ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน ใฝ่ศึกษาสิ่งนี้โดยเฉพาะ เพื่อเปลี่ยนความรู้สึกจากเดิมที่เป็นแบบชาวบ้านมาเป็นแบบชาวพุทธ ถ้าหากท้อแท้มันก็จะวกเวียนกลับไปอย่างเก่า เข้ามาแล้วยังไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้สัมผัส กระแสเก่ามันก็จะลากกลับไป เพราะพลังเดิมมันมีอยู่ก่อนแล้ว มันก็คอยสั่งการให้กลับไป เพราะว่ามันมีอำนาจ มีพลังมากกว่า
          มันทำไม่เป็น มันจะเป็นได้อย่างไร ก็มันยังไม่รู้ มีอย่างเดียวก็คือหาทาง นักบวชทั้งหลายที่ออกมาบวช ยังอยู่ในลักษณะของการหาเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าทำถูก ทำได้ ทำเป็น หาได้ก็ได้ หาไม่ได้มันก็ไม่ได้ จะบวชทั้งชาติก็ช่าง มันเข้าทางไม่ได้ ก็ไปไม่ได้ แต่มันก็ไม่มีหน้าที่อื่น ไม่มีวิธีอื่น นอกจากหา ถ้ามันแย้มบ้าง มันก็ได้ประตู ได้ทาง อย่างคำที่สวดไปว่า ผู้ใดเห็นธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้นๆ... เขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้ นี่คือแสดงถึงอาการที่ว่าสัมผัสได้บ้างแล้ว นี่คือออกเดินทางแล้ว แต่ถ้าไม่ได้กระแสในระดับอย่างนี้ ก็มีทางเดียวคือหา เป็นการหา หาต่อไป
          ถ้าท้อแท้ ไม่บากบั่น ไม่พากเพียร มันก็ถอยหลังไป หันหลังกลับไป เพราะว่ามันหาไม่เจอ มันก็เลยเบื่อหน่าย นั่นคือแพ้ ไม่ชนะ หมดศรัทธาจนถึงขั้นมีการสบประมาท ลบหลู่ ไปเลยก็ได้ นั่นคือ ความไม่เห็นทาง มันก็เลยกลับไปทางเก่า ถ้าได้ทางได้กระแส มันก็ไม่กลับ เพราะมันรู้แล้วว่าเป็นอย่างไร มันจะดี จะร้าย จะถูก จะต้อง มันรู้แล้ว มันจะเดินทางต่อไป จนถึงจุดหมายปลายทางได้ในสักวันหนึ่ง มันจะมีลักษณะ มีรสชาติอย่างนั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น